top of page

ความแตกต่างระหว่าง Remarketing และ Retargeting ในอีคอมเมิร์ซ: วิธีที่ Retargeting สามารถช่วยเพิ่มยอดขายของคุณ

รูปภาพนักเขียน: GraasGraas

อัปเดตเมื่อ 14 ม.ค.


eCommerce marketing analytics for effective remarketing strategy

Remarketing และ Retargeting เป็นคำที่มักปรากฏในกลยุทธ์การตลาดของอีคอมเมิร์ซ และไม่แปลกที่คนจะใช้คำสองคำนี้แทนกันได้


ทั้งสองมีเป้าหมายในการดึงดูดลูกค้าที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณแต่ยังไม่ได้ทำการซื้อ อย่างไรก็ตาม แม้เป้าหมายจะคล้ายกัน แต่ทั้งสองวิธีมีความแตกต่างกันในเชิงเทคนิคเกี่ยวกับวิธีการบรรลุเป้าหมายนั้น


หากคุณเคยสับสนว่า Remarketing และ Retargeting ต่างกันอย่างไร คุณไม่ได้เป็นเพียงคนเดียว ความเข้าใจในความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นซึ่งเหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจคุณ


ในบล็อกนี้ เราจะอธิบายรายละเอียดระหว่าง Remarketing และ Retargeting ในอีคอมเมิร์ซ พร้อมทั้งเจาะลึกว่าเหตุใด Retargeting จึงเป็นวิธีที่ทรงพลังในการเพิ่มยอดขายของคุณ



มาเริ่มกันเลย!


Remarketing และ Retargeting ในอีคอมเมิร์ซคืออะไร?


eCommerce Remarketing: เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการดึงดูดลูกค้าปัจจุบันหรือผู้ที่เคยมีโอกาสเป็นลูกค้ากลับมาอีกครั้งผ่านแคมเปญอีเมลและข้อความที่ปรับให้เหมาะสม โดยจะใช้ข้อมูลลูกค้า เช่น ที่อยู่อีเมลหรือประวัติการซื้อ เพื่อส่งข้อเสนอเฉพาะบุคคล การแจ้งเตือน หรือคำแนะนำ


eCommerce Retargeting: เป็นกลยุทธ์โฆษณาดิจิทัลที่ใช้คุกกี้ติดตามหรือพิกเซลในการส่งโฆษณาที่ตรงเป้าหมายให้กับผู้ใช้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์หรือแอปของคุณ เช่น การดูสินค้าบางรายการ การเพิ่มสินค้าในรถเข็น หรือการละทิ้งขั้นตอนการชำระเงิน


มาทำความเข้าใจความแตกต่างหลักระหว่างสองกลยุทธ์นี้กัน!

ความแตกต่างระหว่าง Retargeting และ Remarketing ในอีคอมเมิร์ซ

ทำไมธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงควรใช้แคมเปญ Retargeting?


แคมเปญ Retargeting มีวิธีที่ยืดหยุ่นและทันทีมากกว่า Remarketing

นี่คือเหตุผลที่ Retargeting ก้าวนำไปอีกขั้น:


1. ดึงดูดผู้เข้าชมที่สูญเสียไปกลับมา

ไม่ใช่ทุกคนจะตัดสินใจซื้อในการเข้าชมครั้งแรก การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ต้องการการปฏิสัมพันธ์หลายครั้งก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ Retargeting ช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับผู้เข้าชมที่ "สูญหาย" โดยการเตือนพวกเขาถึงสินค้าที่พวกเขาดูหรือทิ้งไว้ในรถเข็น วิธีนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนความสนใจเริ่มแรกเป็นการขาย และไม่พลาดโอกาสทางธุรกิจ


2. เพิ่มการเข้าถึงผู้ชมเป้าหมายของคุณให้สูงสุด

Retargeting ช่วยให้โฆษณาของคุณเข้าถึงผู้ชมที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม โดยการใช้คุกกี้หรือตัวติดตามพิกเซล คุณสามารถระบุผู้ใช้ที่แสดงความสนใจในสินค้าของคุณแล้วได้ ความแม่นยำนี้ช่วยลดการใช้จ่ายโฆษณาที่สูญเปล่ากับผู้ชมที่ไม่สนใจ และมุ่งเน้นงบประมาณไปยังผู้ที่มีความตั้งใจสูง นอกจากนี้ แพลตฟอร์มอย่าง Google และ Facebook ยังรองรับ Dynamic Retargeting ที่ช่วยแสดงสินค้าที่ผู้ใช้เคยดู ทำให้โฆษณามีความเกี่ยวข้องสูง


3. เพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลงและ ROI

ข้อดีสำคัญของ Retargeting คือความสามารถในการเพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับการโฆษณาแบบดิสเพลย์ปกติ ผู้ใช้ที่ถูก Retargeted มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนใจซื้อเนื่องจากพวกเขารู้จักแบรนด์และสินค้าอยู่แล้ว ความเฉพาะบุคคลและความเกี่ยวข้องของโฆษณา Retargeting ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมาก นำไปสู่ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีขึ้นสำหรับแคมเปญโฆษณาของคุณ


4. รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า

Retargeting ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้เข้าชมครั้งแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อกับลูกค้าปัจจุบันอีกด้วย โดยการเตือนพวกเขาเกี่ยวกับสินค้าที่เข้ากันได้หรือข้อเสนอพิเศษ คุณสามารถกระตุ้นการซื้อซ้ำและสร้างความภักดีในระยะยาว ตัวอย่างเช่น การเสนอแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องให้กับลูกค้าที่เพิ่งซื้อจะช่วยสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ปรับให้เหมาะสมและเสริมสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณ


กลยุทธ์ Retargeting สำหรับธุรกิจ eCommerce


Retargeting หากใช้อย่างมีกลยุทธ์ สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจได้ นี่คือ 5 กลยุทธ์ขั้นสูงที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ Retargeting ของคุณ:


1. การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย (Audience Segmentation)

การ Retargeting ที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ


  • การติดตามตาม URL (URL-Based Tracking): แบ่งกลุ่มผู้ชมตามหน้าที่พวกเขาเข้าชม เช่น ผู้ที่ดูสินค้าราคาสูงอาจต้องการข้อความที่แตกต่างจากผู้ที่เข้าชมหน้าขายสินค้า วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถปรับข้อความให้เหมาะกับเจตนาของพวกเขาได้

  • ขั้นตอนการชำระเงิน/ตะกร้าสินค้าที่ถูกทิ้ง (Checkout Stage/Abandoned Cart): สร้างกลุ่มสำหรับผู้ใช้ที่ละทิ้งตะกร้าสินค้าในขั้นตอนต่างๆ ของการชำระเงิน ผู้ที่เพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ชำระเงินอาจต้องการสิ่งจูงใจที่แตกต่างจากผู้ที่ละทิ้งหลังจากกรอกรายละเอียดการจัดส่งแล้ว

  • พฤติกรรมการซื้อ (Buying Behavior): วิเคราะห์ข้อมูลการซื้อที่ผ่านมาเพื่อ Retarget ผู้ใช้ด้วยคำแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง แบ่งกลุ่มผู้ซื้อบ่อย ผู้ซื้อครั้งเดียว และลูกค้าที่มีความชอบในหมวดหมู่สินค้าบางประเภทเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด


2. สร้างโฆษณาส่วนบุคคล (Create Personalized Ads)

ความเป็นส่วนตัวคือหัวใจสำคัญของ Retargeting ใช้โฆษณาแบบไดนามิกที่ปรับตามประวัติการเรียกดูของผู้ใช้ เช่น แสดงสินค้าที่พวกเขาดูหรือเพิ่มในตะกร้า รวมถึงข้อเสนอส่วนบุคคล เช่น ส่วนลดหรือการจัดส่งฟรีที่ปรับให้ตรงกับความชอบของพวกเขา เครื่องมือปรับแต่งขั้นสูงสามารถใช้ตัวกระตุ้นพฤติกรรม เช่น โฆษณาที่สร้างความเร่งด่วนสำหรับสินค้าที่มีสต็อกจำกัดหรือดีลที่มีระยะเวลาจำกัด


3. การกำหนดเป้าหมายข้ามช่องทาง (Cross-Channel Targeting)

ขยายความพยายาม Retargeting ไปยังช่องทางต่างๆ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ใช้การผสมผสานระหว่างโฆษณาแบบดิสเพลย์ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อีเมล Retargeting และแม้แต่การแจ้งเตือนในแอป เพื่อเสริมสร้างข้อความของคุณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโฆษณาของคุณได้รับการปรับให้เหมาะกับรูปแบบและพฤติกรรมของผู้ใช้ในแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น ใช้โฆษณาวิดีโอบน Instagram หรือโฆษณา Carousel บน Facebook เพื่อแสดงสินค้าหลายรายการ


4. การวัดและปรับปรุงแคมเปญ Retargeting (Measuring and Optimizing Retargeting Campaigns)

Retargeting ไม่ใช่การตั้งค่าครั้งเดียว ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงเพื่อวัดผลแคมเปญตามตัวชี้วัดสำคัญ เช่น อัตราการคลิก (CTR) อัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion Rate) และผลตอบแทนจากการใช้จ่ายโฆษณา (ROAS) ทดลองใช้โฆษณาและกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ด้วย A/B Testing เพื่อค้นหาสิ่งที่ได้ผลดีที่สุด


5. การวิเคราะห์ Attribution สำหรับ eCommerce (eCommerce Attribution Analysis)

Attribution ช่วยให้คุณเข้าใจผลกระทบที่แท้จริงของแคมเปญ Retargeting ในกลยุทธ์การตลาดโดยรวมของคุณ ใช้โมเดล Attribution แบบ Multi-Touch เพื่อระบุจุดสัมผัสที่ช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง ข้อมูลเชิงลึกนี้ช่วยให้คุณจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพและปรับปรุง Retargeting ให้เหมาะสมกับบทบาทในเส้นทางลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาสร้างการรับรู้ในครั้งแรกหรือเป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้าย


ใช้ Marketing Deep Dive ของ Graas เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ Retargeting ของคุณ!


การทำ Retargeting ให้มีประสิทธิภาพต้องการมากกว่าการรันแคมเปญ มันต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อระบุว่าสิ่งใดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ


ด้วย Marketing Deep Dive ของ Graas คุณจะได้รับการวิเคราะห์ผลการทำงานของโฆษณาอย่างชัดเจน ช่วยให้คุณมองเห็นแคมเปญที่มีประสิทธิภาพสูงและสร้าง ROI อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกันยังช่วยเน้นโฆษณาที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้คุณจัดสรรทรัพยากรไปยังส่วนที่ไม่สร้างผลลัพธ์


Graas ให้มุมมองเชิงลึกในแคมเปญ Retargeting ของคุณ ช่วยให้คุณเปรียบเทียบตัวชี้วัดสำคัญ เช่น รายได้จากโฆษณา (Ad Revenue), ROAS, การแสดงผล (Impressions), อัตราการคลิก (CTR), CPC และอีกมากมาย การวิเคราะห์อย่างครอบคลุมนี้ช่วยให้คุณระบุโฆษณา Retargeting ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเพิ่มการลงทุนในกลยุทธ์ที่สร้างผลลัพธ์


หยุดพึ่งการคาดเดาในความพยายาม Retargeting ของคุณ ใช้ข้อมูลเชิงลึกจาก Graas เพื่อปรับปรุงแคมเปญและเพิ่มผลตอบแทนให้ดียิ่งขึ้น ก้าวต่อไป—สมัครทดลองใช้งาน Graas ฟรี 30 วันวันนี้!

תגובות


bottom of page