top of page
ค้นหา

10 สิ่งที่ผู้ขาย eCommerce ควรทำเพื่อขยายธุรกิจในช่วง Prime Day ปี 2025

  • รูปภาพนักเขียน: Graas
    Graas
  • 17 เม.ย.
  • ยาว 3 นาที

วิธีเพิ่มยอดขายในช่วง Prime Day ปี 2025

เช่นเดียวกับทุกปี Amazon Prime Day 2025 คาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม และเหมือนกับนาฬิกาที่เดินตรงเสมอ มันจะเป็นหนึ่งในอีเวนต์ลดราคาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี ในปี 2023 Prime Day ทำยอดขายทั่วโลกไปกว่า $12.9 พันล้านดอลลาร์ ผู้ซื้อหลายล้านคนรอคอยวันนี้ แบรนด์ต่างๆ เตรียมตัวกันล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ บางรายถึงขั้นเป็นเดือน


แต่ประเด็นคือ แม้จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ธุรกิจจำนวนมากก็ยังขาดทุนอยู่ดี


ทำไม? สองเหตุผลหลักคือ การคาดการณ์ความต้องการที่ผิดพลาด และการบริหารจัดการสต็อกที่ไม่ดี


เราเห็นเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

  • การมีสต็อกไม่เพียงพอ นำไปสู่การพลาดยอดขายและทำให้ลูกค้าผิดหวัง

  • การมีสต็อกมากเกินไป ทำให้เงินทุนถูกล็อกไว้ และยังเพิ่มต้นทุนในการจัดเก็บ

  • การคาดการณ์ความต้องการที่ไม่แม่นยำ ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่คาดเดาไม่ได้ และการแข่งขันที่ดุเดือด อาจทำให้แผนทุกอย่างรวนได้


ผลลัพธ์ก็คือ รายได้ที่หายไป และกระบวนการทำงานที่ยุ่งเหยิงในช่วงเวลาที่ควรเป็นช่วงกำไรสูงสุด


เพื่อช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ เราได้รวบรวม 10 สิ่งที่ผู้ขาย eCommerce ต้องทำ เพื่อขยายธุรกิจอย่างชาญฉลาดและทำกำไรในช่วง Prime Day ปีนี้


  1. การคาดการณ์ความต้องการด้วย AI

  2. การปรับสมดุลระดับสต็อกข้ามช่องทาง

  3. การปรับค่าใช้จ่ายโฆษณาให้สอดคล้องกับระดับสต็อกสินค้า

  4. การปรับแต่งหน้ารายการสินค้าให้เกิด Conversion สูงสุด

  5. การจัด Lightning Deals และโปรโมชันให้ได้ผล

  6. การใช้ PPC และ Sponsored Ads ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

  7. การยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและสร้างการซื้อซ้ำ

  8. การเสริมกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้งหลัง Prime Day

  9. การจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพหลัง Prime Day

  10. การวิเคราะห์ผลลัพธ์และเตรียมตัวสำหรับอีเวนต์ในอนาคต


มาเริ่มกันเลย


1. การคาดการณ์ความต้องการด้วย AI

ตามที่เราได้กล่าวไว้ หนึ่งในความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในช่วง Prime Day คือการคาดเดาความต้องการ ในปี 2025 ไม่มีข้อแก้ตัวใดสำหรับการใช้เพียงแค่สัญชาตญาณ การคาดการณ์ความต้องการด้วย AI ใช้ข้อมูลยอดขายในอดีต แนวโน้มตามฤดูกาล สัญญาณจากตลาด และแม้แต่ราคาของคู่แข่ง เพื่อช่วยคุณทำนายว่าสินค้าอะไรจะขาย และควรมีปริมาณเท่าใด


เมื่อทำได้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณวางแผนสต็อกอย่างชาญฉลาด หลีกเลี่ยงการสินค้าหมด และลดการสต็อกเกินจำเป็น นี่คือจุดที่แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ eCommerce ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่าง Graas เข้ามามีบทบาท


นี่คือสิ่งที่มันช่วยได้:

  • ดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์จากหลากหลายแหล่ง (Shopify, Amazon, Meta Ads, Google Ads และอื่นๆ)

  • วิเคราะห์รูปแบบ Prime Day ในอดีตและแนวโน้มปัจจุบัน

  • คาดการณ์ความต้องการในระดับ SKU ตามประสิทธิภาพของหมวดหมู่และปัจจัยทางการตลาด

  • แสดงให้คุณเห็นว่าสินค้าตัวไหนเริ่มเป็นที่นิยม ก่อน ที่ความต้องการจะพุ่งขึ้น


สมมติว่าร้านของคุณขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ถ้า AI คาดการณ์ว่าความต้องการของเซรั่มวิตามินซีจะพุ่งขึ้น 40% และมอยส์เจอไรเซอร์เพียง 10% คุณก็จะรู้ทันทีว่าควรสต็อกอะไรเพิ่ม และควรทุ่มการตลาดให้กับตัวไหนมากที่สุด


หากไม่มีข้อมูลเชิงลึกนี้ คุณก็แค่กำลังเดา และในช่วง Prime Day การเดาอาจมีราคาที่ต้องจ่ายสูง


2. การปรับสมดุลระดับสต็อกข้ามช่องทาง

เมื่อคุณรู้แล้วว่าลูกค้าน่าจะซื้ออะไร ขั้นตอนถัดไปคือการทำให้แน่ใจว่าสินค้ามีอยู่ในที่ที่เหมาะสม ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการที่สินค้าค้างอยู่ในคลังหนึ่ง ในขณะที่ความต้องการพุ่งขึ้นในอีกช่องทางขายหนึ่ง จะไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย


คุณต้องปรับสมดุลระดับสต็อกให้ครอบคลุมทุกช่องทางการขาย โดยให้ความสำคัญกับ Amazon เป็นพิเศษ เพราะความต้องการที่นี่จะสูงกว่าช่องทางอื่นอย่างมาก


นี่คือวิธีดำเนินการหลังจากที่ได้คาดการณ์ความต้องการแล้ว:

  • ซิงก์ระบบคลังสินค้าของคุณให้เชื่อมต่อกับทุกแพลตฟอร์ม

  • จัดลำดับความสำคัญของการจัดสต็อกตามประสิทธิภาพของแต่ละช่องทางจาก Prime Day ครั้งก่อน

  • ใช้เครื่องมือหรือพาร์ตเนอร์ Fulfillment ที่มีระบบกระจายสต็อกอัจฉริยะ


ตัวอย่างเช่น หาก 70% ของทราฟฟิกของคุณในช่วง Prime Day มาจาก Amazon แต่คุณมีสต็อก 50% อยู่ในคลังสินค้าที่เน้นขายผ่าน DTC คุณก็เท่ากับกำลังสร้างความเสี่ยงให้ตัวเอง วางแผนอย่างชาญฉลาดและโยกย้ายสินค้าให้พร้อมล่วงหน้า


3. การปรับค่าใช้จ่ายโฆษณาให้สอดคล้องกับระดับสต็อกสินค้า

การทุ่มงบโฆษณากับสินค้าที่คุณมีสต็อกไม่เพียงพอ คือภัยเงียบ ใช่แล้ว คุณอาจมีความต้องการที่สูง ใช่แล้ว ค่า ROAS ของคุณอาจดูดีมาก แต่ถ้าคุณไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ล่ะ? นั่นคือเม็ดเงินโฆษณาที่สูญเปล่าและลูกค้าที่ไม่พอใจ


เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น ปรับกลยุทธ์โฆษณาให้สอดคล้องกับความพร้อมของสต็อก


คุณสามารถทำได้ 2 วิธี:

  • เพิ่มสต็อกให้เพียงพอกับความต้องการจากโฆษณา: หากสินค้าชิ้นใดคาดว่าจะขายดีและเป็นส่วนหลักของแคมเปญของคุณ ให้เพิ่มสต็อกเพื่อสนับสนุนแผนการใช้จ่ายโฆษณา

  • ลดงบโฆษณาสำหรับ SKU ที่มีสต็อกต่ำ: หากคุณไม่สามารถเติมสต็อกได้เร็วพอ อย่าผลักดันสินค้านั้นในโฆษณา ให้ปรับงบไปที่ SKU ที่มีสต็อกมากกว่าและมีกำไรใกล้เคียงกัน


4. การปรับแต่งหน้ารายการสินค้าให้เกิด Conversion สูงสุด

ในช่วง Prime Day ตำแหน่งที่สินค้าของคุณปรากฏมีความสำคัญพอๆ กับสิ่งที่คุณเสนอ แม้คุณจะมีดีลที่คุ้มค่าแค่ไหน ก็ขายไม่ได้ถ้าลูกค้าไม่เจอสินค้าหรือหน้ารายการของคุณไม่สามารถปิดการขายได้


เป้าหมายของคุณคือทำให้ลูกค้าคลิกและซื้อได้ง่ายที่สุด


นี่คือวิธีปรับแต่งหน้ารายการสินค้าก่อนถึง Prime Day:

  • ใช้ภาพสินค้าคุณภาพสูงที่แสดงให้เห็นหลายมุม

  • อัปเดตชื่อสินค้าและจุดขายให้มีคำค้นที่ลูกค้าใช้จริง

  • เน้นโปรโมชันพิเศษสำหรับ Prime Day เช่น ราคาจำกัดเวลา หรือดีลแบบจัดเซ็ต

  • เพิ่ม A+ Content (บน Amazon) หรือคำอธิบายสินค้าแบบละเอียด (บนเว็บไซต์ DTC ของคุณ) เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

  • รวบรวมรีวิวใหม่ๆ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อน Prime Day เพราะรีวิวคือแรงจูงใจสำคัญในการขายช่วงนี้


อย่าโฟกัสแค่เรื่องราคา การมองเห็นและการนำเสนอคือตัวดึงดูดลูกค้าและทำให้พวกเขาคลิกปุ่ม “ซื้อเลย”


5. การจัด Lightning Deals และโปรโมชันให้ได้ผล

Lightning Deals เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นและยอดขายในช่วง Prime Day มันกระตุ้นความเร่งรีบ, ดึงความกลัวตกเทรนด์ (FOMO) และผลักดันสินค้าขึ้นอันดับในผลการค้นหา


แต่อย่าลืมว่าการลดราคาแบบไร้กลยุทธ์อาจกระทบกับกำไรของคุณ


วิธีใช้ Lightning Deals อย่างมีประสิทธิภาพ:

  • ใช้เฉพาะกับ SKU ที่มียอดขายสูงและคุณสามารถลดราคาได้โดยไม่กระทบกำไร

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีสต็อกเพียงพอกับดีล

  • วิเคราะห์โปรโมชันที่ผ่านมาเพื่อตั้งระดับส่วนลดที่กระตุ้นการซื้อโดยไม่ฆ่ากำไร


เมื่อใช้โปรโมชันอย่างชาญฉลาด มันสามารถสร้างยอดขายระยะสั้นและการรับรู้แบรนด์ในระยะยาวได้


6. การใช้ PPC และ Sponsored Ads ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

Prime Day คือเกมที่ต้องจ่ายเพื่อเล่น โดยเฉพาะบน Amazon เพราะแบรนด์ต่างๆ แข่งกันสูง การจัดอันดับแบบออร์แกนิกอาจไม่พอ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแคมเปญ PPC ของคุณต้องแข็งแกร่ง


เริ่มจากการปรับแต่งรายการสินค้าออร์แกนิกให้แน่น: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคำค้น, ชื่อสินค้า และรูปภาพของคุณได้รับการปรับให้เหมาะสม จากนั้นเพิ่มโฆษณาแบบจ่ายเงินเพื่อเพิ่มการมองเห็น


สิ่งที่ควรทำกับ Amazon Ads:

  • Sponsored Products: เลือกคำค้นที่มีเจตนาซื้อสูงสำหรับ SKU ชั้นนำของคุณ

  • Sponsored Brands: โปรโมทดีลแบบจัดเซ็ตหรือหมวดหมู่หลักเพื่อเพิ่ม AOV

  • Sponsored Display: รีทาร์เก็ตกลุ่มที่เคยสนใจแต่ยังไม่ซื้อ


โบนัส: ใช้ Google Ads เพื่อดึงทราฟฟิกมายังหน้าสินค้าใน Amazon โฆษณาแบบ Search หรือ Shopping ที่มีคำว่า “Prime Day Deal” จะช่วยดึงกลุ่มที่ค้นหาสินค้านอก Amazon ให้กลับมาที่หน้าสินค้าที่มีอัตราแปลงสูงของคุณ


7. การยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและสร้างการซื้อซ้ำ

เหตุผลเดียวที่แบรนด์จำนวนมากยอมลดกำไรใน Prime Day เพราะพวกเขารู้ว่ามันไม่ได้เป็นแค่เรื่องรายได้ แต่มันคือโอกาสในการได้ลูกค้าใหม่ที่สามารถรักษาไว้ได้ และลูกค้าที่รักษาไว้ได้นั้นมีมูลค่าสูงกว่าถึง 5 เท่าในระยะยาว เพราะฉะนั้น จงให้เหตุผลที่พวกเขาจะกลับมา


พวกเขาจะกลับมา ถ้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจากแบรนด์ของคุณ ปรับปรุงประสบการณ์ด้วย:

  • การจัดส่งที่รวดเร็วและเชื่อถือได้: ใช้ FBA หรือ 3PL ชั้นนำเพื่อให้มั่นใจว่าส่งตรงเวลา

  • การแพ็คสินค้าและแกะกล่องที่ประทับใจ: ถ้าน่าสนใจและดูพรีเมียม พวกเขาจะกลับมาซื้อซ้ำ

  • การซัพพอร์ตที่รวดเร็ว: ตอบคำถามอย่างไวและจัดการปัญหาด้วยความใส่ใจ


ติดตามด้วยอีเมลขอบคุณ ขอรีวิว และเสนอสิ่งจูงใจเล็กๆ เพื่อให้กลับมาซื้ออีกครั้ง นี่คือวิธีเปลี่ยนลูกค้าขาจรให้กลายเป็นลูกค้าประจำ


8. การเสริมกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้งหลัง Prime Day

แม้ว่า Prime Day จะสิ้นสุดใน 48 ชั่วโมง แต่โอกาสยังไม่จบ ใช้รีมาร์เก็ตติ้งเพื่อดึงผู้ที่เคยดูสินค้าและผู้ซื้อครั้งเดียวให้กลับมา


สิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อดึงลูกค้าเพิ่มเติม:

  • รันโฆษณารีทาร์เก็ตบน Facebook, Google และ Instagram เป็นเวลา 1–2 สัปดาห์หลัง Prime Day สำหรับกลุ่มที่พลาดดีล

  • สร้าง email flows สำหรับลูกค้าใหม่: ยืนยันคำสั่งซื้อ → เคล็ดลับการใช้สินค้า → ข้อเสนอเพิ่มเติม

  • ใช้ Amazon’s DSP (Demand Side Platform) เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าชมแต่ยังไม่ซื้อ


จงอยู่ในใจของลูกค้า แม้ดีลจะจบ แต่การเติบโตของคุณไม่จำเป็นต้องหยุด


9. การจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพหลัง Prime Day 

เมื่อความบ้าคลั่งของ Prime Day จบลง ก็ถึงเวลาสำรวจสินค้าคงคลังอย่างจริงจัง SKU บางรายการอาจขายหมด บางรายการอาจยังเหลืออยู่ ทั้งสองสถานการณ์นี้ต้องได้รับการจัดการ


เริ่มจากการรีวิว sell-through rate เพื่อดูว่าสินค้าไหนขายดีและสินค้าไหนไม่เวิร์ก แล้วปรับกลยุทธ์สินค้าคงคลังให้เหมาะสม


ขั้นตอนที่ควรทำหลัง Prime Day:

  • เติมสินค้าขายดีอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษา momentum

  • จัดดีลเคลียร์สต็อกหรือทำโปรแบบ bundle กับสินค้าที่ขายช้าเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสินค้า

  • ใช้ข้อมูลเพื่อวางแผนให้ดียิ่งขึ้นสำหรับแคมเปญถัดไป

และอย่าลืม: สินค้าคงเหลือที่มากเกินไปอาจลดกำไรจากค่าจัดเก็บ โดยเฉพาะถ้าคุณใช้ FBA รีบจัดการเพื่อลดต้นทุนระยะยาว


10. การวิเคราะห์ผลลัพธ์และเตรียมตัวสำหรับอีเวนต์ในอนาคต

ทุก Prime Day คือโอกาสในการเรียนรู้ คุณต้องเจาะลึกตัวเลขเพื่อเข้าใจว่าอะไรเวิร์กและอะไรไม่เวิร์ก


เริ่มจากเมตริกเหล่านี้:

  • ยอดขายรวมและอัตรากำไร

  • ROAS ในแต่ละช่องทางโฆษณา

  • อัตราการแปลงของแต่ละ SKU

  • อัตราหมุนเวียนสินค้าคงคลัง

  • อัตราส่วนลูกค้าใหม่กับลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ


ใช้การวิเคราะห์นี้เพื่อปรับกลยุทธ์สำหรับ Q3 และ Q4 โปรโมชันแบบไหนเวิร์กที่สุด? ครีเอทีฟโฆษณาแบบไหนได้คลิกมากที่สุด? สินค้าไหนแปลงยอดขายได้ดีแต่ของหมด?


ทิปพิเศษ: สร้างรายงาน post-mortem ของ Prime Day แชร์กับทีม บันทึกอินไซต์สำคัญ และสร้าง playbook สำหรับแคมเปญในอนาคต


บทสรุป


หากไม่มีข้อมูล คุณก็เหมือนกำลังยิงเป้าโดยที่ไม่เห็นเป้าหมาย การคาดเดาของคุณอาจพลาดเป้าไปอย่างสิ้นเชิง ผลลัพธ์? กำไรติดลบ ทรัพยากรถูกใช้เปล่า และโอกาสที่พลาดไป


นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการพึ่งพาอินไซต์แบบเรียลไทม์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จึงแทบจะเป็นข้อบังคับ คุณต้องมีแพลตฟอร์ม eCommerce analytics ที่สามารถดูยอดขายในอดีต ประสิทธิภาพด้านการตลาด ระดับสินค้าคงคลัง และพฤติกรรมลูกค้า—all in one place และนี่คือจุดที่ Graas เข้ามามีบทบาท


Graas ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลของคุณด้วยความแม่นยำในระดับสูงสุด และแปลงข้อมูลนั้นให้เป็นอินไซต์ที่ชัดเจนและนำไปใช้ได้จริง และเนื่องจากคำแนะนำทั้งหมดมาจากข้อมูลของคุณเอง โอกาสในการได้ผลลัพธ์จริงจึงสูงกว่ามาก


ตั้งแต่การพยากรณ์ความต้องการ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายโฆษณา ไปจนถึงการจัดการสินค้าคงคลัง Graas ช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพในทุกส่วนของธุรกิจ



 
 
 

Comments


bottom of page