เทศกาลในอินเดียสามารถสร้างหรือทำลายธุรกิจ eCommerce ของคุณได้ ตัวเลขแสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจน การใช้จ่ายโฆษณารวมทั้งหมดของอินเดียคาดว่าจะเติบโต 7.8% ในปี 2025 แตะที่ ₹1,371 พันล้าน ($15.9 พันล้าน) การใช้จ่ายโฆษณาดิจิทัลจะพุ่งขึ้น 12–16% แตะที่ ₹580 พันล้านในช่วงเทศกาลนี้ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดของการลงทุนโฆษณาออนไลน์
บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคกำลังเพิ่มงบโฆษณาช่วงเทศกาลขึ้น 15–20% หลังจากครึ่งปีแรกที่ยากลำบาก แคมเปญเหล่านี้ตอนนี้คิดเป็น 30–40% ของค่าใช้จ่ายทางการตลาดรายปีของหลายแบรนด์ แต่ปัญหาคือ นักการตลาดมักจะติดอยู่กับตัวเลขที่น่าประทับใจเหล่านี้และลงเอยด้วยการใช้จ่ายเกินหรือลงงบประมาณผิดช่องทาง
ทำไม? เพราะขาด actionable insights ที่แท้จริง
ทางออกไม่ใช่การทุ่มเงินเพิ่มไปที่โฆษณา แต่คือการจัดสรรเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Meta และ Google Ads โดยอิงจากการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล บล็อกนี้จะแสดงให้คุณเห็นทีละขั้นว่าคุณสามารถใช้ marketing analytics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรงบประมาณและเพิ่ม ROI ได้อย่างไรในช่วงฤดูกาลขายที่สำคัญที่สุดของอินเดีย
มาเริ่มกันเลย!
เมื่อพูดถึงการโฆษณาช่วงเทศกาลในอินเดีย มีสองแพลตฟอร์มที่ครองความเป็นใหญ่ การครองตลาดร่วมกันนี้สร้างขึ้นจากจุดแข็งที่เสริมกัน ครอบคลุมทุกขั้นตอนของ customer journey
Meta ขับเคลื่อนการ retargeting conversions ส่วนใหญ่ในช่วงเทศกาล Facebook และ Instagram โดดเด่นในด้านการเล่าเรื่องด้วยภาพ ทำให้เหมาะสมที่สุดสำหรับการนำเสนอคอลเลกชันสินค้าช่วงเทศกาลและข้อเสนอพิเศษตามฤดูกาล
จุดแข็งของแพลตฟอร์มอยู่ที่การเลี้ยงดู potential customers ผ่าน custom audiences และ lookalike targeting ความสามารถในการ retargeting ขั้นสูงของ Meta ช่วยดึงดูดนักช้อประดับ high-intent ที่เคยเข้าชมแต่ยังไม่ซื้อกลับมา สร้าง touchpoints หลายครั้งตลอดวงจรการซื้อช่วงเทศกาลที่ยาวนาน
Google มีสัดส่วนเกือบ 50% ของ paid ad conversions ทั้งหมดในอินเดีย ทำให้กลายเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับกิจกรรม bottom-funnel เมื่อผู้บริโภคค้นหา “Diwali gifts under 5000” หรือ “festive wear online” Google Search Ads จะจับ high-intent traffic นี้ได้ทันที
แคมเปญ Google Shopping แสดงสินค้า ราคา และรีวิวโดยตรงในผลการค้นหา ขณะที่ YouTube Ads ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมการบริโภควิดีโอขนาดใหญ่ของอินเดีย แพลตฟอร์มนี้โดดเด่นในการเปลี่ยนผู้ใช้ที่รู้อยู่แล้วว่าต้องการอะไร ทำให้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับแคมเปญที่เน้นการทำธุรกรรม
ทั้งสองแพลตฟอร์มตอนนี้ครองส่วนแบ่งงบโฆษณาดิจิทัลของอินเดียมากที่สุด โดย social media (Meta) มีสัดส่วน 23% ในขณะที่ search (Google) มี 18% ของ digital ad spend รวมในปี 2025 การกระจายนี้สะท้อนถึงบทบาทที่เสริมกัน: Meta ช่วยสร้าง awareness และ consideration ขณะที่ Google จับ demand และเปลี่ยน intent ให้เป็นยอดขาย
แม้ว่าจะสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์ม eCommerce analytics ที่ทรงพลังได้ แต่นักการตลาดส่วนใหญ่ก็ยังคงตัดสินใจจัดสรรงบประมาณตามสัญชาตญาณมากกว่าข้อมูลจริง วิธีการนี้ทำให้แบรนด์สูญเสียงบประมาณไปหลายล้านและพลาดโอกาสสำคัญในช่วงเทศกาล
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า 30% ของนักการตลาดยังคงเลือกแพลตฟอร์มตามอคติ มากกว่าการอิงตาม campaign metrics
บางทีมโน้มเอียงไปทาง Meta มากกว่า เพราะเข้าใจเรื่อง creative testing และ audience segmentation ได้ดีกว่า
แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยความชอบส่วนบุคคลนี้ มองข้ามคำถามพื้นฐานว่า: แพลตฟอร์มไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าสำหรับ campaign objectives ที่เฉพาะเจาะจง? ความคุ้นเคยกับ interface ของแพลตฟอร์มไม่ควรกำหนดว่าควรลงทุนงบเทศกาลของคุณที่ไหน
หลายแบรนด์ตกหลุมพรางในการพึ่งพา Google Search Ads หรือ Meta Conversion campaigns เพียงอย่างเดียว โดยไม่เปรียบเทียบประสิทธิภาพข้ามแพลตฟอร์ม Google Search มักถูกใช้เป็นตัวเลือกเริ่มต้นสำหรับ direct response campaigns ในขณะที่ Meta มักถูกจำกัดอยู่ในกรอบของ brand awareness
แนวคิดแบบแยกส่วนนี้ทำให้นักการตลาดไม่สามารถค้นพบได้ว่า Meta อาจให้ cost-per-acquisition ที่ดีกว่าสำหรับบาง product categories หรือว่า Google Display อาจมีประสิทธิภาพดีกว่า Facebook สำหรับ audience segments บางกลุ่ม การทดสอบในระดับแคมเปญข้ามทั้งสองแพลตฟอร์มเผยให้เห็นความแตกต่างที่น่าประหลาดใจ ซึ่งการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยอคติมักพลาดไปโดยสิ้นเชิง
หากไม่มี unified insights จากทั้งสองแพลตฟอร์ม คุณจะไม่สามารถระบุได้ว่า channel ใดให้ผลตอบแทนสูงกว่าต่อนงบโฆษณา ส่วนใหญ่ทีมการตลาดวิเคราะห์ประสิทธิภาพของ Google และ Meta แยกกันใน dashboards คนละชุด ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบ efficiency metrics ที่แท้จริงได้ มุมมองที่กระจัดกระจายนี้นำไปสู่การจัดสรรงบประมาณโดยอิงจากข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งมักโน้มเอียงไปยังแพลตฟอร์มที่รายงาน vanity metrics ได้ดีกว่า มากกว่าผลกระทบต่อธุรกิจจริง
การจัดสรรงบประมาณอย่างชาญฉลาดเริ่มจากการติดตาม performance indicators ที่ถูกต้องข้ามทั้งสองแพลตฟอร์ม ต่อไปนี้คือ metrics ที่จำเป็นซึ่งบอกได้ว่าแพลตฟอร์มใดให้คุณค่าที่ดีกว่าสำหรับ festive campaigns ของคุณ
CPC แตกต่างกันอย่างมากระหว่างแพลตฟอร์มเนื่องจาก auction dynamics และระดับการแข่งขันที่ต่างกัน CPC ของ Meta ยังคงค่อนข้างต่ำเพราะ inventory ขนาดใหญ่และความแม่นยำในการ targeting ในขณะที่ Google Search มีราคาสูงกว่าสำหรับ high-intent keywords
CPA บอกเล่าเรื่องราวที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยพิจารณา conversion rates; CPC ที่สูงกว่าอาจยังคงให้ CPA ที่ต่ำกว่า หาก conversion rates แข็งแกร่งกว่า
CTR แสดงให้เห็นว่า creative และ targeting ของคุณน่าสนใจต่อ audience แค่ไหน โดยทั่วไป Google Search มักจะแสดง CTR ที่สูงกว่าเพราะผู้ใช้กำลัง actively ค้นหาวิธีแก้ปัญหา ขณะที่ Meta ต้องการ visuals ที่ engaging มากกว่าเพื่อดึงดูดความสนใจในสภาพแวดล้อมของ social
Conversion rates เผยให้เห็นถึงประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มในการเปลี่ยน clicks ให้เป็น customers โดย Google มักจะแสดง rates ที่แข็งแกร่งกว่าสำหรับ transactional campaigns
ROAS คือ ultimate performance benchmark ของคุณในทุกช่องทาง Facebook, Instagram, Google Search และ YouTube โดยแต่ละ placement มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน Instagram เหมาะสำหรับ lifestyle products, Google Search สำหรับ immediate purchase intent และ YouTube สำหรับ discovery-driven categories เช่น electronics และ fashion
การเข้าใจว่าใคร convert ได้เร็วกว่าและที่ไหน ช่วยให้คุณ optimize funnel strategy ได้ดีขึ้น จุดแข็งของ Meta คือ retargeting ทำให้เหมาะสำหรับ mid-funnel และ bottom-funnel conversions ที่มี impact สูง ในขณะที่ Google เด่นที่ bottom-funnel, intent-driven search รวมถึงการเข้าถึงในวงกว้างผ่าน YouTube สำหรับ discovery-to-purchase journeys
แพลตฟอร์ม eCommerce analytics ของ Graas ช่วยกำจัดการคาดเดาในการจัดสรรงบโฆษณาช่วงเทศกาล โดยการนำข้อมูลการตลาดและโฆษณาทั้งหมดมาไว้ใน dashboard เดียวแบบครบถ้วน
แทนที่จะต้องสลับหลายแท็บและ spreadsheet คุณจะได้มุมมองแบบเต็มใน cross-platform performance ที่ช่วยให้ตัดสินใจใช้จ่ายได้อย่างชาญฉลาด
แพลตฟอร์มรวบรวม ad spend, conversions และ ROAS จากทั้ง Meta และ Google Ads ไว้ในมุมมองเดียวแบบ centralized คุณสามารถเห็นได้ทันทีว่าแคมเปญ Facebook ของคุณเปรียบเทียบกับ Google Search Ads อย่างไร โดยไม่ต้องสลับ interface หรือ compile report ด้วยตนเอง
แนวทางแบบ unified นี้เผยให้เห็น performance patterns ที่เป็นไปไม่ได้ที่จะสังเกตเมื่อข้อมูลอยู่ใน silo แยกกัน Dashboard ยังอัปเดตแบบ real-time ให้คุณได้ snapshot ของ performance ที่แม่นยำ สะท้อนสถานะแคมเปญปัจจุบันแทนที่จะเป็น metrics ที่ล้าสมัยจากรายงานเมื่อวาน
Graas ช่วยให้คุณเปรียบเทียบได้ทันทีว่า products หรือ campaigns ไหนที่ perform ดีที่สุดในแต่ละ platform และแต่ละ stage ของ customer journey คุณสามารถระบุได้ว่า awareness campaigns ของคุณทำงานดีกว่าบน Instagram หรือ YouTube และวิเคราะห์ว่า Google Shopping outperform Facebook Dynamic Ads สำหรับ product categories ของคุณหรือไม่
แพลตฟอร์มจะ map performance ของ campaign กับแต่ละ funnel stage แสดงให้คุณเห็นชัดเจนว่าแต่ละ platform สร้าง impact สูงสุดที่ไหน การวิเคราะห์ในระดับ granular นี้ช่วยให้คุณจัดสรรงบตาม performance จริงแทนการคาดเดาเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของ platform
ในช่วงเทศกาลที่มีการแข่งขันสูง performance ของแคมเปญสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป Graas จะ track ต้นทุนและผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณปรับ allocation ของงบได้ทันทีเพื่อให้ ROI สูงสุด
The platform alerts when campaigns exceed cost thresholds or fall below performance benchmarks, enabling immediate optimization. You can pause underperforming campaigns and scale winning ones without waiting for end-of-day reports or weekly reviews. แพลตฟอร์มจะเตือนเมื่อแคมเปญเกิน cost thresholds หรือ performance ต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้สามารถ optimize ได้ทันที คุณสามารถ pause แคมเปญที่ underperform และ scale แคมเปญที่ชนะ โดยไม่ต้องรอรายงานสิ้นวันหรือการทบทวนรายสัปดาห์
ใช้ Graas เพื่อเพิ่ม ROI ของ festive campaign ด้วย cross-platform visibility ที่เปลี่ยนข้อมูลเป็น actionable insights